การดูแลหลังการผ่าตัดเสริมหน้าอก
การรักษา
1.1 กินยาแก้ปวดตามระยะเวลา
ยาที่ช่วยลดการปวด เรียงจากน้อยไปมาก
(a) Paracetamol (500mg) กิน 2 เม็ดเวลาปวดทุก 6 ชั่วโมง
(b) Norgesic ยาคลายกล้ามเนื้อ กินต่อเนื่อง 1 เม็ด หลังอาหาร เช้า-กลางวัน-เย็น
(c) ยาแก้ปวดกล้ามเนื้อ/ต้านอักเสบ Celebrex(200mg) ให้กินต่อเนื่อง 1 เม็ด หลังอาหารเช้า-เย็น
สามารถกินต่อเนื่องได้นาน 7-14 วันหากยังมีอาการปวดอยู่
(d) ยาแก้ปวดที่รุนแรงมากMorphine syrup กิน 1-2 ช้อนชาเวลาปวดมาก ทุก 4-6 ชั่วโมง
ปกติให้กินยาในข้อ (a)-(c) หากปวดมากอาจรับยาเพิ่มในข้อ(d) ไม่ต้องกลัวติดยา และไม่ควรต้องทนเวลาปวด เพราะการทนไม่กินยาไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไร
1.2 นอนศีรษะสูง จะช่วยลดอาการบวมแน่นได้
1.3 ประคบเย็น เริ่มได้ตั้งแต่หลังผ่าตัดวันแรก ตั้งแต่กลับถึงบ้าน โดยปลดบราออกแล้วตรงกลาง แล้วประคบแผ่นเย็น Cold pack gel ให้เย็นตลอด 24 ชั่วโมง (ควรมีสองอันเพื่อสลับกันใช้ทุก 1-2 ชั่วโมง) นาน 7-10 วัน
ไม่ให้ใช้แผ่น gel ลดไข้ Koolfever เพราะไม่ได้ผล ความเย็นไม่เพียงพอ
1.4ดูแลสายระบายเลือดให้ดี เพราะขวดเดรนระบายเลือดช่วยลดความเจ็บ ลดเลือดคั่ง ทำให้เต้านมนิ่ม และลดพังผืดได้
-ขณะนอนพักให้วางไว้ข้างตัว ให้ต่ำกว่าระดับหน้าอก อย่าให้บิด อย่าให้ตึงเกินไป ระวังสายหลุดจากข้อต่อ
-ขณะเดินทางให้ถือใส่ถุง/กระเป๋า หรือ แขวนไว้กับเข็มขัด
-ให้ขีดระดับทุกวันตอนเช้า , ตรวจเช็คสุญญากาศ จุกสีเขียว หากไม่ทำงานต้องมาเปลี่ยน ระหว่างรอให้วางขวดต่ำกว่าหน้าอกเสมอ
- แนะนำอาหารอ่อนๆเช่นข้าวต้ม,น้ำหวาน,นม หรืออาหารที่ย่อยง่าย ในช่วงแรก โดยเริ่มกินทีละน้อยก่อน เพราะคลื่นไส้ในช่วงแรกหลังทำอาจเกิดได้ และจะค่อยๆดีขึ้นเอง หลีกเลี่ยง เหล้า แอลกอฮอล์ ,อาหารดิบ,หรือ อาหารที่อาจทำให้เกิดอาการแพ้ในช่วง 1 เดือนแรก
- งดอาบน้ำ แต่สามารถปลดบราและให้เช็ดตัวได้ตั้งแต่วันแรก จนกระทั่งหลังประมาณ 12 วันหลังผ่าตัด (ตัดไหมไปแล้ว 5 วัน)
- กินยาฆ่าเชื้อ และแก้ปวด ตามแพทย์สั่ง
- ในช่วง 5 วันแรกควรนอนพักประคบเย็นเป็นหลัก ไม่ควรเดินทางไกล หรือต้องขยับร่างกายมากเพราะจะทำให้ปวด เลือดคั่ง หรือติดเชื้อตามมาได้
ในวันที่ 2 หรือ 3 หลังผ่าตัดให้มาตรวจตามนัดให้ตรงเวลา 10.00-11.30 น. เพื่อ…..
- ตรวจประเมินอาการปวด,ความบวมช้ำ หรือ ความผิดปกติอื่นๆ และแนะนำการปฏิบัติตัว หรือข้อควรระวังในแต่ละรายซึ่งอาจต่างกัน
- พยาบาลผู้ช่วยจะเทเลือดจากขวดระบาย จะเอาสายระบายเลือดออกได้เมื่อ ของเหลวออกมาน้อยกว่า 30 mlใน1 วัน และเป็นสีเหลืองตลอดสาย
- ฉีดยาหรือกินยาหยุดเลือด หากเลือดออกมากกว่าปกติ เช่น เคยกินยาวิตามิน อาหารเสริมภายใน 2 เดือนก่อนผ่าตัด, มีประจำเดือน, มีภาวะเลือดออกง่าย หยุดยาก, เป็นคนที่เขียวช้ำง่ายเวลาโดนกระแทก (ยากิน/ยาฉีด เพื่อหยุดเลือด จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เพราะถือเป็นการรักษาเพิ่มเติมเนื่องจากสภาพร่างกาย และการแข็งตัวของเลือดที่ไม่ปกติ )
- หลีกเลี่ยงทำศัลยกรรม หรือหัตถการอื่นใดกับร่างกาย ในขณะที่มีสายเดรน (ห้ามทำจมูก,ห้ามทำฟัน,ห้ามสัก) เพราะเชื้อในกระแสเลือดสามารถเข้าร่างกายมาเกาะที่ซิลิโคนเต้านมทำให้เกิดพังผืดหดรัดได้ ถ้าจำเป็นควรปรึกษาแพทย์เพื่อฉีด หรือกินยาฆ่าเชื้อป้องกัน
- งดสูบบุหรี่อย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพราะมีผลต่อการหายของแผล ส่วนในระยะยาวควรงดสูบบุหรี่เพราะอาจทำให้เกิดพังผืดหดรัดรอบซิลิโคนได้ง่ายขึ้น
1.นัดมาตรวจแผลและ ตัดไหม
- เช็คบราที่ใส่ แนะนำให้การใส่บรา (ใส่ตลอด 24 ชั่วโมง,คาดผ้า Breast Band แถบสีขาวเท่านั้น ห้ามใช้บราพิเศษแบบอื่น ตลอด 24 ชั่วโมง 1-2 เดือนตามแพทย์สั่ง ขึ้นกับโครงสร้างเต้านมและกระดูกหน้าอกของแต่ละคน)
2. หลังตัดไหมต้องติดเทปกันแผลแยกไว้ 5 วัน ห้ามโดนน้ำ,ห้ามแกะ,ห้ามให้หลุดเด็ดขาด
-ยังไม่แนะนำให้อาบน้ำหลังตัดไหม 5 วัน ( ถ้าจำเป็นต้องอาบน้ำให้ติดแผ่นฟิล์มกันน้ำขนาดใหญ่ และคอยเปลี่ยนทุกครั้งหากมีน้ำเข้าไปข้างใต้ ต้องดูแลระวังให้ดีเพราะหากน้ำเข้าไปโดนแผลจะเปื่อยแยกได้ )
-ห้ามแช่น้ำ ลงอ่างน้ำ ลงทะเล 1 เดือน เพราะแผลยังไม่หายสนิทน้ำจะทำให้แผลเปื่อยและอักเสบได้
3. บางคนอาจต้องกินยาฆ่าเชื้อหรือยาแก้ปวดต่อ แล้วแต่อาการ
4. กิจกรรมที่ควรงดในช่วง 1 เดือนแรก : ห้ามออกกำลังกาย, ห้ามทำงานที่ต้องใช้แรงกล้ามเนื้อหน้าอก เช่น ยก/ลากของหนักๆ,ขับรถ,ทำงานบ้าน
5.เริ่มรักษาแผลเป็น หลังตัดไหมไปแล้ว 5 วัน
-หลังจากตัดไหมไปแล้ว 5 วันค่อยแกะแผล เริ่มทายาและปิดแผ่นกันแผลเป็นได้ ใช้ต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมงอย่างน้อย 6 เดือน
1. นัดมาเช็คว่าความบวมเต้านมลดลงตามปกติ ไม่มีน้ำคั่งที่แผล ไม่มีการอักเสบ ติดเชื้อหรือ บวมตึงที่ผิดปกติ
2. เช็คตำแหน่งซิลิโคนว่ายังอยู่ตำแหน่งที่ดี
เพราะมีหลายราย ไม่ได้รัดผ้าด้านบน หรือ รัดผ้าไม่ถูกต้อง หรือ นอนตะแคงกดทับซิลิโคน หรือใช้แรงแขนและกล้ามเนื้อหน้าอกมากเกินไป หรือทำงานบ้าน หรือขับรถ ทำให้ซิลิโคนยกตัวหรือเคลื่อนตัวผิดไป การมาตรวจจะสามารถแก้ไขความผิดปกตินี้ได้ทัน
3. ห้ามนวดก่อนแพทย์อนุญาต เพราะแต่ละคนมีสภาพร่างกายไม่เหมือนกันการนวดจึงต้องต่างกันตามปัญหาเฉพาะบุคคล โดยทั่วไปแนะนำให้เริ่มนวดหลัง 1 เดือนสำหรับซิลิโคนทรงกลม ส่วนซิลิโคนทรงหยดน้ำไม่ให้นวด
4. หากผิวแตกแห้งเป็นขุย เพราะซิลิโคนดันผิวหนังจนตึง แนะนำให้ทา Baby oil หรือ วาสลิน จะเป็นไม่นาน แค่ 1-2 เดือนเท่านั้น
5. ยังไม่ให้กินวิตามิน อาหารเสริมใดๆ
1. นัดมาเช็คว่าความบวมเต้านมลดลงตามปกติ ไม่มีน้ำคั่งที่แผล
2. เช็คความนิ่ม แข็งของเต้านม หากมีความเสี่ยงเรื่องพังผืด หรือเต้านมแข็งมาก แพทย์จะสั่งวิตามินอี และยา ลดพังผืด (ขนาดยาตามอาการที่ตรวจพบ)
ถ้าปกติทั่วไป แพทย์แนะนำวิตามิน E ขนาด 800-1,000 iu ต่อวัน
3. เช็คแผล หากนูนเป็นคีลอยด์ง่ายกว่าปกติ จะแนะนำแผ่นปิดแผลนูนแบบหนาขึ้น หรือเปลี่ยนยี่ห้อเจล หรืออาจต้องฉีดสเตียรอยด์ลดแผลนูน
4.ถ่ายภาพหลังผ่าตัด เพื่อเช็คทรงเต้านม และระดับซิลิโคน
(ภาพใช้สำหรับแพทย์เพื่อติดตามการรักษาเท่านั้น ไม่ได้มีการเผยแพร่, ภาพถ่ายจะมีประโยชน์กรณีในอนาคตเกิด เต้านมเกิดเคลื่อนผิดรูปหรือมีพังผืดรัด จะสามารถวินิจฉัยและทำการแก้ไขได้ตรงจุด)
5. สอนการนวด และให้เริ่มนวดได้เต็มที่ และสามารถนวดด้วยเครื่องอัลตราซาวด์ความร้อนได้ สำหรับซิลิโคนทรงกลม
(การนวดด้วยตนเองควรนวดเท่าที่แนะนำเท่านั้น เคยมีคนไข้ที่ไปนวดโดยหมอนวดที่ไม่มีประสบการณ์จนแผลฉีกอักเสบและซิลิโคนหลุดออกมา)
6. ในบางรายจะแนะนำการรัดผ้าสีขาวด้านบนหน้าอกต่อเนื่องอีก 2-4 สัปดาห์ เพราะบางรายมีความเสี่ยงที่ซิลิโคนจะเคลื่อนผิดตำแหน่งได้ เช่นกระดูกหน้าอกนูนผิดปกติ
- แพทย์นัดมาตรวจเช็คทรง และตำแหน่งซิลิโคน
- นัดมาตรวจแผลเป็น
- เช็คความนิ่ม แข็งของเต้านม หากมีความเสี่ยงเรื่องพังผืด หรือเต้านมแข็งมาก แพทย์จะปรับขนาดยาวิตามินอี และยา ลดพังผืด
- แพทย์นัดมาตรวจเช็คทรง และตำแหน่งซิลิโคน
- นัดมาตรวจแผลเป็น
- เช็คความนิ่ม แข็งของเต้านม หากมีความเสี่ยงเรื่องพังผืด หรือเต้านมแข็งมาก แพทย์จะปรับขนาดยาวิตามินอี และยา ลดพังผืด
- ถ่ายภาพหลังผ่าตัด เพื่อเช็คทรงเต้านม และระดับซิลิโคน